วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

Green Day


ก่อนที่ Green Day จะมาเป็น Green Day ได้ในทุกวันนี้ใครจะรู้ว่าพวกเขาทั้ง 3 คนได้ผ่านอะไรมามากต่อมาก ทั้งปัญหาครอบครัว คำวิจารณ์จากเหล่าพวกพ้อง แฟนเพลง เหล่านักวิจารณ์ดนตรี แต่พวกเขาก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและได้ฟันฝ่าปัญหาทั้งหลายจนมายืนหยัดในจุดนี้ได้ เรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นเมื่อ Billie Joe และ Mike Dirnt ได้ตั้งวง "Sweet Children" ขึ้นเมื่อขณะได้อายุเพียง 14 ปี พวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนกันในสมัยเด็กและเรียนโรงเรียนเดียวกันมา ทั้งสองแชร์รสนิยมดนตรีที่คล้ายกันและด้วยนิสัยที่ใกล้เคียงกันอีกจึงทำให้ Mike และ Billie เป็นเพื่อนสนิทกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว พวกเขาทั้ง 2 ในวัยเด็กไม่เหมือนใครคนอื่น เขาทั้ง 2 มีเพื่อนไม่มากนัก ด้วยนิสัยที่เงียบและเก็บตัว พวกเขาจึงใช้เวลาส่วนมากไปกับดนตรีและการแต่งเพลง ทั้ง Mike และ Billie หลงไหลในเสียงเพลง Heavy Metal และดนตรี Punk จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนของเขาคนอื่นแนะนำให้ Sweet Children รู้จักกับคลับเล็กๆให้หนึ่งชื่อว่า 924 Gilman Street Club ซึ่งเป็นคลับเล็กๆแห่งหนึ่งที่วงพังค์และเหล่าพังค์ทั้งหลายไปรวมตัว สุงสิงกัน และเล่นดนตรี แต่การเล่นดนตรีในที่นี้เป็นการเล่นเพื่ออุดมการณ์ที่แท้จริงของพังค์ ทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับการหาเงินเข้ากระเป๋าแต่อย่างใด วง Sweet Children จึงไปเล่นที่นั่นเป็นครั้งแรก และครั้งแรกที่พวกเขาปรากฎตัวมีเพียงคนดูไม่ถึง 10 คนเท่านั้น แต่วง Sweet Children ก็เล่นอย่างเต็มที่และสุดความสามารถโดยไม่สนใจว่าพวกเขาจะมีคนดูกี่คนก็ตาม หลังจากนั้นเป็นต้นมา Sweet Children ก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็เปลี่ยนชื่อวงเป็น Green Day พร้อมกับได้ออกอัลบั้มแรก 1,039 Smoothed Out Slappy Hours กับค่าย Lookout และออกอัลบั้มที่ 2 Kerplunk ในปีถัดมา ซึ่งทำลายสถิติอัลบั้มที่มียอดขายสูงที่สุดของค่าย Lookout ทำให้ Green Day มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ "Underground Punk scene" เป็นอย่างมาก ด้วยความโด่งดังของ Green Day กับค่ายเล็กๆอย่าง Lookout ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาเลื่องลือไปถึงค่ายเทปใหญ่หลายแห่งซึ่งต่างก็พยายามมาติดต่อ Green Day ให้เซ็นสัญญาด้วย โดยหวังว่าจะได้วงนี้ไปเป็น "The next big thing" ของวงการเพลง แต่ Green Day ไม่เคยสนใจในชื่อเสียงเงินทองและความร่ำรวยจึงปฎิเสธสัญญาจากค่ายเพลงดังๆทั้งหลายครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาทั้งสามคนคงความเป็นวงพังค์และยึดถือสโลแกน DIY : Doing It Yourself เรื่อยมา พวกเขาขายเทปแต่ละม้วนได้ด้วยลำแข้งของพวกเขาเอง และอาศัยคำพูดแนะนำจากแฟนเพลงปากต่อปากเท่านั้น พวกเขาเดินสายทัวร์ไปทั่วประเทศ ซึ่งก็ได้ช่วยเพิ่มยอดขายอัลบั้ม Kerplunk เป็นอีกหลายเท่าตัว จนกระทั่งวันหนึ่ง Rob แห่งค่าย Reprise Record ยักษ์ใหญ่แห่ง Warner ได้ทำการติดต่อ Green Day ไปโดยหวังว่าจะได้พวกเขามาร่วมงานด้วย Rob ไม่เหมือนใครคนอื่นที่เคยติดต่อพวกเขา Rob สนใจในดนตรีอย่างจริงจังและหลงใหลในดนตรีแนวพังค์ตลอดจนแชร์รสนิยมทางดนตรีที่เหมือนกับพวกเขา ทำให้ Green Day ถึงกับใจอ่อนและยอมเซ็นสัญญาด้วยประกอบกับค่ายเล็กๆอย่าง Lookout ไม่สามารถตอบสนองกระแสความดังของ Green Day ได้อีกต่อไป การตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ในครั้งนี้ได้สร้างปัญหามานับไม่ถ้วนให้แก่พวกเขา และถูกตราหน้าเป็นครั้งแรกว่า "ผู้ทรยศ" และ "Sellouts" การเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ถือเป็นข้อต้องห้ามอย่างหนึ่งของวงพังค์ เพราะพวกพังค์ไม่ต้องการให้เพลงของพวกเขานั้นถูกนำไปเปิดตาม MTV และสื่อต่างๆ พวกเขาต่อต้านสื่อ mainstream ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นการตัดสินใจของ Green Day ในครั้งนี้ถึงกับทำให้แฟนๆบางกลุ่มในยุคแรกๆถึงกับหัวใจสลายและโกรธแค้น Green Day เป็นอย่างมาก แต่ Green Day ก็ไม่สนใจคำวิจารณ์ว่ากล่าวต่างนานา พวกเขาได้ทำการตัดสินใจไปแล้วและชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เขาชื่อว่าชีวิตคือของพวกเขาและพวกเขามีสิทธิเต็มที่ในการทำอะไรทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ พวกเขาทั้งสามคนต้องการให้เพลงของพวกเขาเป็นที่ได้ยินในคนหมู่มากและนั่นก็คือจุดประสงค์หลักที่ว่าทำไมพวกเขาถึงทำการเซ็นสัญญากับ Reprise หลังจากคำวิจารณ์ต่างๆนานาจากแฟนกลุ่มเก่าๆ Green Day ก็ได้เข้าสตูดิโอเพื่ออัดเสียงอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของพวกเขา "Dookie" ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้นในการอัดเสียงทั้งหมด Single แรกกับ Reprise ของพวกเขาเลยคือ Longview หลังจากวิดีโอเพลงนี้ได้ถูกนำออก MTV เป็นครั้งแรกก็ถึงกับเขย่าวงการเพลงเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพราะข้อความและเนื้อหาในเพลงหรือสไตล์การเล่นเพลงแบบใหม่กับอิทธิพลแนวพังค์ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจจากสื่อเป็นจำนวนมาก ความแรงของพวกเขาถึงกับฉุดไม่อยู่เลยทีเดียวเมื่อซิงเกิ้ล Basket Case และ When I Come Around ถูกปล่อยในเวลาต่อมา ประกอบกับคอนเสิร์ต Woodstock ปี 1994 ที่พวกเขามีโอกาสได้ปรากฎตัวต่อหน้าขาร็อกเป็นจำนวนมาก สร้างปรากฏการณ์เขย่าวงการเพลงในปี 1994 ผู้คนที่ไปดูคอนเสิร์ตในครั้งนี้ถึงกับกล่าวว่ากรีนเดย์เป็นวงดนตรีที่เล่นได้ดีที่สุดหรือดึงดูดความสนใจได้มากที่สุดในวันนั้นทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพราะ energy บนเวทีหรือ mud fight กับคนดูก็ตามที ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ยอดขายอัลบั้ม Dookie ก็พุ่งทะลุถึงหลัก 10 ล้านตลับ และขายได้เรื่อยมาจนถึง 16 ล้านตลับทั่วโลกในทุกวันนี้ นับเป็นยอดขายที่ไม่น่าเชื่อสำหรับวงป็อปพังค์วงเดียว อย่างไรก็ตามถึงแม้ความสำเร็จและเงินทองจะโถมเข้ามาหาแก่พวกเขาอย่างไม่หยุดยั้งในปี 1994 ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาได้รับการวิจารณ์อย่างหนักจากเหล่าแฟนเพลงยุคแรกๆ สมัย 1039 Smooth Out Slaapy Hours และ Kerplunk ตลอดจนเหล่านักวิจารณ์เพลงทั้งหลายแหล่ว่ากรีนเดย์ได้กลายเป็นวง "Sellouts" ในที่สุด กรีนเดย์สูญเสียแฟนเพลงจำนวนมากโดยเฉพาะเหล่าพวกพังค์ที่เคยสนับสนุนเขามาก่อน ด้วยเหตุผลนี้พวกเขาจึงออกอัลบั้ม Insomniac ในปีถัดมา 1995 อย่างรวดเร็วเพื่อพิสูจน์ให้แฟนเพลงกลุ่มเดิมๆเชื่อว่าพวกเขายังคงเป็นวงพังค์เหมือนเดิม เพลงในอัลบั้มนี้มีเนื้อหาที่รุนแรง เกรี้ยวกราดและหดหู่มากที่สุดในบรรดาทุกอัลบั้มที่กรีนเดย์เคยทำ และซาวน์ดนตรีก็หนักแน่นและรวดเร็วเก่าอัลบั้มอื่นๆ ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้อัลบั้ม Insomniac มียอดขายที่น้อยกว่าอัลบั้มอื่นๆ และได้รับการโปรโมตจากสื่อน้อยมาก อัลบั้ม Insomniac ไม่สามารถเข้าถึงแฟนเพลงกลุ่มใหม่ได้เท่าที่ควรแต่ในทางกลับกัน กรีนเดย์สามารถดึงศรัทธาจากแฟนเพลงยุคแรกๆมาได้มากพอสมควรเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม พวกเขาไม่เคยภูมิใจกับผลงานในอัลบั้ม Insomniac เลย เพราะสิ่งที่พวกเขาทำงานคือการ "พิสูจน์" ตัวเองเพื่อให้คนอื่นยอมรับพวกเขาว่ายังคงเป็นวงพังค์เหมือนที่พวกเขาเคยเป็นมาก่อน การทำเช่นนี้ทำให้กรีนเดย์ตกอยู่ในภาวะแห่งความสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง พวกเขายกเลิกเดินสายทัวร์เกือบทั้งหมด เพราะพวกเขาไม่ต้องการ "เสแสร้ง" ทำในสิ่งที่เขาไม่ใช่และพวกเขาก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องพิสูจน์ตัวตนของพวกเขาให้กับคนอื่น หลังจากนั้นเป็นต้นมา กรีนเดย์ก็ไม่เคยสนใจคำวิจารณ์จากเหล่าแฟนเพลงหรือนักวิจารณ์ใดๆก็ตาม พวกเขาสร้างดนตรีเพื่อพวกเขาเองเท่านั้น เขาทำในสิ่งที่เขาอยากทำและยึดมั่นในหลักการของตนเองโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆทั้งสิ้น ด้วยความเชื่อนี้ กรีนเดย์จึงออกอัลบั้มถัดมาชื่อว่า Nimrod ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่พวกเขาเริ่มทดลองซาวน์ใหม่ๆโดยไม่สนใจว่าทำแบบนี้จะ "พังค์" หรือ "ไม่พังค์" และพวกเขายังปล่อยซิงเกิ้ลขายดีตลอดกาลของพวกเขา "Good Riddance" ที่ช็อกวงการพังค์ร็อคเลยทีเดียว เพลงนี้เป็นบัลลาดเศร้าจับใจ เนื้อหาเพลงพูดถึงการตัดสินใจในชีวิตเมื่อมาถึงทางแยกของชีวิต แล้วเมื่อการตัดสินใจครั้งนั้นผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผลของการตัดสินใจนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องเสมอ บางครั้งคนเราไม่สามารถทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์คือสิ่งที่คนๆนั้นต้องอยู่กับมัน ส่วนเรื่องในอดีตนั่นก็จะกลายเป็นแค่ช่วงเวลาเก่าๆที่ฝังลึกไว้เพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น




กรีนเดย์ปล่อยซิงเกิ้ล Good Riddance เพื่อกล่าวอำลาแฟนเพลงพังค์ในยุดแรกๆของพวกเขา ว่าเขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าแฟนๆเหล่านั้นจะหันหลังให้กลับกรีนเดย์หลังจากที่กรีนเดย์เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ เขาเขียนเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อบอกลาแฟนๆในยุคนั้นเป็นนัยๆว่าเขาจะลืมอดีตทิ้งให้หมดและมันจะเป็นเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น ต่อไปนี้พวกเขาจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าและไม่สนใจและยึดติดกับคำว่า "พังค์" อีกต่อไป ...



ในปี 2000 กรีนเดย์ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับอัลบั้มใหม่ Warning คราวนี้พวกเขาอยู่ในวัยเกือบ 30 และไม่ใช่เด็กๆที่ร้องเพลงเกี่ยวกับ Longview หรือ Basket Case อีกต่อไป ในอัลบั้มนี้พวกเขาทั้ง 3 โปรดิวซ์อัลบั้มด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากงจากอัลบั้ม 1039/ Smoothed Out Slappy Hours โดยปราศจาก Rob คู่ซี้ และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่กรีนเดย์ทดลองซาวน์ใหม่โดยไม่คำนึงถึงอดีตและกฎเกณฑ์ของ "พังค์" พวกเขานำกีตาร์แบบอคูสติกมาใช้เป็นหลัก มีการใช้เครื่องดนตรีหลากหลายมากขึ้น จึงทำให้ซาวน์โดยรวมอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนมาก อีกทั้งความหมายโดยรวมของอัลบั้มยังให้แง่คิดดีๆในแง่บวก ต่างจากอัลบั้มเก่าๆ มากทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตามกรีนเดย์ยังคงความเป็นกรีนเดย์ไว้ด้วยความหมายแบบประชดประชันเสียดสีสังคมอย่างเช่นในเพลง Warning, Minority หรือ Fashion Victim และเพลงทุกเพลงก็ยังคงติดหูผู้ฟังซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรีนเดย์เลยทีเดียว อัลบั้ม Warning ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนกลุ่มใหม่และเหล่านักวิจารณ์เพลง เพราะอัลบั้มนี้ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาทั้ง 3 คนได้โตขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว และมีศักยภาพมากกว่าการทำเพลงพังค์ 3 นาทีซ้ำไปซ้ำมา อัลบั้มนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีในแง่ของความคิดสร้างสรรค์และความพยายามของวง แต่ถึงอย่างนั้นอุปสรรคก็ยังถามหาพวกเขาไม่เลิกรา แฟนๆยุคเก่าถึงกับส่ายหน้าหนีกับอัลบั้มนี้ทันที พร้อมกับบอกว่าอัลบั้มนี้คืออัลบั้มที่แย่ที่สุดที่พวกเขาเคยสร้าง และอัลบั้มนี้เองที่น่าจะเป็นจุดจบของวงกรีนเดย์เลยทีเดียว



แต่นั่นไม่ใช่จุดจบของกรีนเดย์อย่างแน่นอน พวกเขาไม่เคยสนใจว่าใครจะคิดยังไงเกี่ยวกับผลงานของพวกเขา เขาสร้างเพลงเพื่อความพึงพอใจของตนเอง ไม่ใช่เพื่อแฟนเพลง นักวิจารณ์ หรือคนอื่นใด พวกเขากลับมาอีกครั้งในปี 2004 หลังจากออกอัลบั้มรวมฮิตและ B-sides ภายใต้ชื่ออัลบั้มใหม่เอี่ยมว่า American Idiot ซึ่งทำยอดขายได้เกินกว่า 5 ล้านตลับในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น นับเป็นสถิติที่เหลือเชื่อเลยทีเดียว อัลบั้มนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากแฟนกลุ่มเก่าๆและนักวิจารณ์ อีกทั้งยังสามารถเจาะตลาดกลุ่ม Pop Culture ได้อย่างเดินความคาดหมาย และยังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขาอัลบั้มร็อคยอดเยี่ยมแห่งปีอีกด้วย พวกเขาเดินสายทัวร์โปรโมตอัลบั้มนี้ไปทั่วโลกและได้รับการตอบรับอย่างไม่น่าเชื่อ บัตรคอนเสิร์ตกว่า 75,000 ใบขายหมดในพริบตา ทัวร์แล้วทัวร์เล่าและพวกเขายังเป็นที่ต้องการในหลายๆประเทศอย่างต่อเนื่อง กระแสความดังของอัลบั้ม American Idiot ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ง่ายๆ จนหลายคนกล่าวว่า ถ้าอัลบั้ม Nevermind ของ Nirvana คืออัลบั้มที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลงในช่วง 90 มันก็เป็นไปได้ว่า American Idiot ของ Green Day จะพลิกโฉมหน้าวงการเพลงร็อคในสหัสวรรษที่ 2000 เลยทีเดียว กระแสความแรงของ American Idiot กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะแซงหน้าอดีตความดังของอัลบั้ม Dookie เมื่อ 11 ปีที่แล้วอย่างช้าๆ ทุกอย่างสำหรับกรีนเดย์ในยุคนี้ดูจะท่าไปได้สวยสำหรับพวกเขา แต่ปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งที่แฟนๆกรีนเดย์ทุกคนเฝ้าถามตัวเองก็คือ แล้วหลังจากวันนี้ พวกเขาทั้ง 3 คนจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต หรือพวกเขาควรจะจบอาชีพของตัวเอง ณ ที่จุดสูงสุดตรงนี้?



ประวัติศิลปินแห่งชาติ อ.กมล ทัศนาญชลี


นายกมล  ทัศนาญชลี เกิดเมื่อวันที่ 17  มกราคม พ.ศ. 2487  ที่กรุงเทพ  เป็นศิลปินคนสำคัญและดีเด่นในด้านจิตรกรรมและสื่อผสมของไทยที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ  ปัจจุบันยังคงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะและเผยแพร่ศิลปะและอุทิศตนให้กับงานการกุศล  ดำรงและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า  และเพียบพร้อมทั้งคุณสมบัติในความเป็นศิลปินอย่างดีงาม  เป็นแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลังอย่างดี  จึงได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินเเห่งชาติ  สาขาทัศนศิลป์(จิตรกรรมสื่อผสม) ประจำปีพุทธศักราช 2540 

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติวง System of a down

SYSTEM OF A DOWN

ท่าม กลางวงดนตรีแบบมิว เมทัลที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด System Of A Down คือหนึ่งในวงดนตรีที่น่าจับตามองมากที่สุด 4 หนุ่มจากคาลิฟอร์เนียตอนใต้ ออกเดโมมาแค่ 3 เพลงเท่านั้น แต่มีลูกเล่นและแนวทางของตัวเองอย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นในด้านเนื้อร้องหรือดนตรี
SOAD เหมือนวงร็อคร่วมสมัยจากกลางยุค 90 วงอื่น ซึ่งมักจะรับอิทธิพลจาก Jane's Addiction, The Smiths, Pink Floyd ฯลฯ ที่เป็นวงขึ้นหิ้งรุ่นพี่ แต่งานของ SOAD เป็นเมทัลปลอดแซมเปิ้ล รวมทั้งยังหลอมดนตรีหลากหลายได้ลงตัว ให้เป็นซาวด์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นดนตรีพื้นเมืองแบบอาร์มีเนียน ที่พวกเขาสืบเชื้อสายมา และดนตรีพื้นเมืองของอเมริกัน รวมทั้งดนตรีแนวเดธ ฮาร์ดคอร์ พั้งค์ แร็พ ฮิพฮ็อป ก็อธ เมทัล แจ๊ซ แด๊นซ์ ฟังค์ โฟล์ค ร็อค อีเลคโทรนิค ป๊อป บลูส์ อัลเทอร์เนทีฟ เนื้อร้องก็สอดแทรกความคิดเห็นทางการเมือง นอกจากนี้ SOAD ยังมีการแสดงบนเวทีที่ดุเดือดเข้มข้น ทำให้เป็นที่ล่ำลือจนมีแฟน ๆ เมทัลในแอลเอเพียบ ก่อนจะเป็นที่รู้จักไปทั่วอเมริกา ระบาดไปถึงยุโรปและนิวซีแลนด์ในเวลาไม่นาน
ปี 2002 SOAD ได้เข้าร่วมเทศกาลดนตรี Ozzfest เป็นครั้งที่ 3 ทีแรกพวกเขาจะเป็นวงเฮดไลน์ร่วมกับ ออสซี่ ออสบอร์น แต่ในปลายเดือนกรกฎาคมเป็นช่วงที่ ออสซี่ ไม่ได้อยู่คุมเด็ก ๆ ในงาน เพราะต้องหยุดไป 3 อาทิตย์ เพื่อไปให้กำลังใจ ชารอน ภรรยาของเขาที่เป็นโต้โผใหญ่งาน Ozzfest ตั้งแต่ต้น เธอป่วยเป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการรักษาแบบเคมีช่วงนั้นพอดี
ในงาน Ozzfest ปี 2002 จะมีเต๊นท์ Axis Of Justice ที่เป็นโครงการร่วมกันของ 2 วง Audioslave และ System Of A Down ที่นี่จะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสังคมอย่างการ เหยียดผิว, นักโทษทางการเมือง, สิทธิแรงงาน, เสรีภาพในการพูด, ความรุนแรงในครอบครัว, ปัญหาสภาพแวดล้อมโลก ฯลฯ โดยมีองค์กรกลุ่มหัวรุนแรง ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น มาให้ความรู้และช่วยเหลือ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.axisofjustice.com
ทราบหรือไม่
SOAD ต่อต้านการกดขี่ทกรูปแบบ รวมทั้งการรุกรานไม่ว่าจาก ประเทศไหนก็ตาม ที่บอกว่ากระทำในนามของศาสนา ประชาธิปไตย ความปลอดภัย และผลประโยชน์ทางธุรกิจ SOAD ประกาศตัวช่วย เหลือ ANCA หรือ Armenian National Commitee องค์กร ที่สนับสนุนให้ทางสภาคองเกรสของอเมริกาลงนามยอมรับรู้เรื่องที่ รัฐบาลตุรกี เคยปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์มีเนียนอย่างโหด เหี้ยมในปี 1915 เหยื่อที่ต้องสังเวยปฏิบัติการนี้รวมเอาเด็กและ ผู้หญิงด้วยถึงกว่า 1.5 ล้านคน จำนวนนี้ยังไม่นับ การสังหารหมู่ ในระหว่างปี 1894-1896) ในขณะที่รัฐบาลของ ฝรั่งเศสรับรู้ ไปแล้ว รวมทั้งอิตาลี และกลุ่มประเทศ EU แต่อเมริกายังปฏิเสธ ข้อมูลนี้ เพราะเกรงจะกระทบความสัมพันธ์ระดับประเทศ กับตุรกี (อเมริกามีฐานทัพอากาศอยู่ที่นั่นหลายที่) ทางวงมักกระจายข้อมูลนี้ ผ่านทางเนื้อเพลง, เว็บไซต์ของวง รวมทั้งในคอนเสิร์ต หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.anca.org
ซาวด์ แทร็คหนังเรื่อง matrix ภาค 2 ในสังกัดของเมเวอร์ริค เร็คคอร์ดส์ System Of A Down จะได้ฝากผลงานไว้ด้วย ร่วมกับ Linkin Park, Disturbed, Deftones, Prodigy และอดีตนักร้องนำของ Rage Against the Machine แซ็ค เดอ ลา โรช่า
จาก Soil เป็น System Of A Down
System Of A Down เป็นวงที่มาจากผลพวงของความบังเอิญ ในปี 1993 เซิร์จ เจอกับ แดรอน ในสตูดิโอ แต่ตอนนั้นทั้งคู่อยู่กันคนละวง ทั้งคู่รู้ตัวว่ามีไอเดียดนตรีคล้าย ๆ กันและนิสัยก็เข้ากันได้ดีซะด้วย ก็เลยออกมาตั้งวงใหม่ด้วยกันชื่อ Soil จากนั้นก็ได้มือเบสมาร่วมทีมหลังจากที่ไปเจอ แชโว ที่โรงเรียนเอกชนของคนเชื้อสายอาร์มีเนียนในฮอลลีวูด ในปี 1995 หันมาใช้ชื่อวง System Of A Down (SOAD) ซึ่งมาจากบทกวีชื่อ Victims Of A Down ที่ เซิร์จ แต่งเอง จากนั้นก็ได้สมาชิกคนสุดท้าย จอห์น มาเล่นกลองให้
ได้ มือกลองมาไม่นาน กาย โอเซียรี่ จากเมเวอริค เร็คคอร์ดส์ก็พา ริค รูบิน ไปเที่ยวไวเปอร์ รูมคลับของดาราหนุ่ม จอห์นนี เด็ปป์ ในฮอลลีวูดที่ขึ้นชื่อเรื่องไลฟ์โชว์มันส์ ๆ คืนนั้น SOAD ขึ้นเวทีพอดีและ ริค ก็ประทับใจกับ ซาวด์ของ SOAD และลีลามันส์ ๆ บนเวทีของวงนี้มากจนต้องจับมาเซ็นสัญญาเข้าสังกัด เปิดซิงสังกัดแผ่นเสียงอเมริกาของเขาเองเป็นวงแรกในช่วงปลายปี 1997 รวมทั้งลงมือโปรดิวซ์งานชุดแรกให้ด้วย
อัลบั้มแรก System Of A Down ก็มีสาวกซะแล้ว
หลัง จากบันทึกเสียงกับ ริค รูบิน ที่ซาวด์ซิตี้สตูดิโอ SOAD ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวด้วยอัลบั้มชื่อเดียวกับชื่อวงว่า System Of A Down ในวันที่ 30 มิถุนายนในฤดูร้อนของปี 1998 ช่วงที่ออกขายแรก ๆ แฟนเพลงร็อคแบบเมน สตรีมรวมทั้งสื่อมวลชนทำเป็นไม่สนใจหน้าใหม่อย่างพวกเขา เพราะกลิ่นอายของความเป็นก็อธ ร็อค ทำให้ SOAD ถูกจัดเข้าพวกกับวงอย่าง KoRn และ Deftones โดยปริยาย แต่ในไม่ช้าทั้ง 2 กลุ่มก็เริ่มรู้ตัวว่า SOAD คืออนาคตของวงการเฮฟวี่ เมทัล เพราะทำดนตรีแหวกแนวหลุดโลกจากวงเมทัลวงอื่นที่มีอยู่ดาดดื่น รวมทั้งประกาศตัวค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นพวกเอียงซ้าย โจมตีรัฐบาลตุรกีอย่างโจ่งแจ้งหลายเพลง อาทิ P.L.U.C.K. ที่ย่อมาจาก politically lying unholy cowardly killers ซึ่งโฟกัสไปที่เหตุการณ์สังหารหมู่ชาวอาร์มีเนียนในต้นศตวรรษที่ 20 ของรัฐบาลตุรกีที่หลายคนไม่เคยใส่ใจมาก่อน SOAD ยืนยันว่าไม่ได้โกรธชาวตุรกีในคิดว่าเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ คิดว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลตุรกีต้องรับผิดชอบมากกว่า พวกเขาเชื่อว่าความชั่วร้ายหลายอย่างในโลกนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นด้วยน้ำมือคน ๆ เดียว แต่เมื่อคนหลาย ๆ คนรวมตัวกันเป็นองค์กรตอนนั้นแหละที่จะฮึกเหิมทำเรื่องใหญ่ที่บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี อย่างไรก็ดีหลังจากเกิดเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน System Of A Down ก็ประกาศยืนข้างเดียวกับรัฐบาล พวกเขาบอกว่าในเวลาแบบนี้ยังไงก็ต้องสามัคคีกันไว้ สนับสนุนรัฐบาลถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบรัฐบาลก็ตาม ถึงจะบ่นเรื่องการบริหารงานของรัฐบาล แต่ท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมรับว่ายังไงซะก็ไม่ได้เกลียดประเทศอเมริกา แต่พวกเขาไม่อยากเห็นการนำเสนอของสื่อเกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน เพราะมันยิ่งทำให้เกิดความเกลียดชังกันมากขึ้น
SOAD ทัวร์เข้มข้น 3 ปีเต็มตั้งแต่ปี 1998 มีส่วนช่วยผลักดันให้ System Of A Down กลายเป็นอัลบั้มที่ขายได้เกือบ 1 ล้านแผ่นทั้งที่เป็นอัลบั้มชุดแรกของวงเมทัลหน้าใหม่วงหนึ่งเท่านั้น พวกเขาเริ่มจากการเป็นวงเปิดให้ Slayer ได้ไปร่วมเทศกาล OzzFest ของ ออสซี ออสบอร์น ได้ทัวร์กับ Metallica และ KoRn รวมทั้ง Black Sabbath ในปี 1999 แต่ในระหว่างนั้นก็ได้ปลีกตัวเข้าสตูดิโอเอา Snow Blind เพลงเก่าของ Black Sabbath รวมทั้ง Shame ของ Wu Tang Clan มาคัฟเวอร์ใหม่ เพื่อนำไปบรรจุไว้ในอัลบั้มรวมเพลงต่างหากที่ไม่เกี่ยวกับ SOAD
จำต้องเข็น Steal This Record เพราะสิงห์ดาวน์โหลดแท้ ๆ
ช่วง ต้นปี 2002 หลังจากที่ SOAD ได้รับความสนใจจากแฟนเพลงทั่วโลก แฟน ๆ ต่างกระหายที่จะได้ฟังงานของ SOAD ทำให้งานเก่าที่ทำไว้ในช่วง 7 ปีแรกซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในอัลบั้ม 2 ชุดแรกของ SOAD ก็หลุดขึ้นอินเตอร์เน็ต ให้สาวก SOAD ทั่วโลกได้แชร์กันฟังระหว่างรองานชุดใหม่ ดาวน์โหลดกันจนฮิตมาก ๆ ขนาดว่านิตยสารต่าง ๆ ต้องเอาเพลงนอกระบบพวกนี้มาวิจารณ์ยังกับเป็นงานใหม่ที่ออกขายโดยต้นสังกัด เลยทีเดียว
SOAD รู้สึกว่างานที่แฟน ๆ ดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตคุณภาพไม่ดี มิกซ์ได้แย่มากเสียงกีตาร์หายไปอย่างน้อย 10 แทร็ค เสียงร้องประสานแทบจะไม่ได้ยิน จึงอยากรวบรวมมาออกให้เป็นเรื่องเป็นราวซะในอัลบั้ม Steal This Album! ที่วางขายในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2002 ซึ่งพวกเขายืนยันว่าทั้ง 16 เพลงในอัลบั้มนี้ไม่ใช่เพลงเหลือ แต่เป็นเพลงที่ตั้งใจคิดและตั้งใจทำ บางเพลงดีพอ ๆ กันหรือไม่ก็ดีกว่าเพลงจากในอัลบั้มด้วยซ้ำไป เพียงแต่อาจจะไม่เข้ากับธีมของอัลบั้มที่ผ่านมา เพลงส่วนใหญ่ในชุดนี้กะรวมไว้ในชุด Toxicity แต่กลัวจะทำให้อัลบั้มนั้นออกมาเมโลดิคจนป๊อปเกินไป
ใน Steal This Album ยังรวมเอาเพลง Shame งานเก่าของ Wu-Tang Clan ที่ SOAD ได้พวกเขามาร่วมงานด้วย เพลงนี้เดิมทีรวมอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงร็อค Loud Rocks เมื่อปี 2000 รวมทั้งยังมีเพลง X ที่เป็นคนละเวอร์ชันกับที่อยู่ในอัลบั้ม Toxicity แต่เป็นเวอร์ชันที่ทีแรก SOAD ตั้งใจเอาไปรวมไว้ในอัลบั้ม System Of A Down แต่ก็ไม่ได้รวมไว้ แถมยังมีแม้แต่เพลง Mr.Jack ที่แต่งกันไว้ตั้งแต่สมัยที่ 4 หนุ่มยังไม่เคยขึ้นเวทีแสดงสดครั้งแรกในชื่อ SOAD ด้วยซ้ำไป และเพลงอินเตอร์ลูดที่พวกเขาใช้ในทัวร์คอนเสิร์ตด้วย แน่นอนในอัลบั้มนี้ยังคงมีเพลง ที่พูดถึงเรื่องที่ตุรกีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์มีเนียนอยู่ดีคือเพลง Boom! รวมทั้งเผยให้เห็นด้านนิ่ม ๆ แบบอะคูสติคของ SOAD ด้วยในเพลง Roulette
พูดง่าย ๆ ถ้าเพลงพวกนี้ไม่รั่วขึ้นอินเตอร์เน็ต Steal This Album! คงจะไม่มีทางได้ออก เป็นความจริงที่ แดรอน ยอมรับเองกับปาก พวกเขาตั้งใจว่าเพลงพวกนี้อาจจะเอามาออกเป็นเพลงในอัลบั้มถัดไปหรือไม่ก็แถม ในซิงเกิ้ล งานชุดนี้โปรดิวเซอร์ยังคงเป็น ริค รูบิน พ่วงด้วย แดรอน ส่วนหน้าที่มิกซ์เป็นของ แอนดี้ วอลเลซ ที่เคยมิกซ์ Toxicity มาแล้ว
ประกาศศักดากับ Toxicity อัลบั้มที่ 2 ที่ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ทันที
ตอน ที่บันทึกเสียงอัลบั้มชุดที่ 2 ทาง SOAD ก็ตั้งใจไม่สนความคาดหมายของแฟน ๆ ที่รอฟังผลงานพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ เพราะอยากทำงานดนตรีที่ค่อย ๆ พัฒนาไปตามแนวทางของตัวเองแท้ ๆ โมเดลการทำงานของ System Of A Down คือ U2 ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อย ๆ ตามยุคสมัยแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของวงได้อย่างดี
ในชุดนี้แด รอน ร่วมโปรดิวซ์อัลบั้มชุดนี้กับ ริค รูบิน ด้วยหลังจากเรียนรู้เทคนิคในสตูดิโอมาบ้างจากงานชุดแรก ใช้เวลาบันทึกเพลงไว้ถึง 33 เพลงในเวลาเพียง 9 สัปดาห์ จำนวนเพลงมากพอสำหรับการออกอัลบั้มคู่แต่ SOAD ไม่อยากออกผลงานชุดที่ 2 เป็นดับเบิ้ลอัลบั้ม เลยคัดออกเหลือแค่ 15 เพลง (รวมเพลง outro ที่แอบแถมมาด้วยใน CD) กลายเป็นอัลบั้ม Toxicity ที่ออกขายในเดือนสิงหาคม 2001 แฟน ๆ ที่ติดตามผลงานจากอัลบั้มแรกเซอร์ไพรส์กันเป็นแถวเมื่อ Toxicity อัลบั้มที่ 2 ที่ออกตามมาในปี 2001 ทะยานขึ้นชาร์ตอย่างไม่น่าเชื่อในทันทีที่ออกขาย Chop Suey! ซิงเกิ้ลแรกกรุยทางให้ Toxicity พุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ได้ด้วยยอดขาย 399,000 ภายในเวลาแค่ 3 สัปดาห์
นอกจากนี้ยังได้กระแสเพิ่มจากการที่ SOAD ออกคอนเสิร์ตร่วมกับ Slipknot และ Mudvayne 6 สัปดาห์เต็มในการทัวร์ Pledge of Allegiance รวมทั้งนิตยสารชั้นนำอย่าง Rolling Stone, Time หรือ Spin พร้อมใจกันชูให้ Toxicity เป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมของปี 2001
ซาวด์ ยังคงโดดเด่นจากวงฮาร์ดร็อครุ่นเดียวกัน มีการนำเอาเสียงแบนโจ้และซิตาร์มาใส่ไว้ด้วย แถมยังมิกซ์เสียงกีตาร์เป็น 12 แทร็คมากกว่าที่ใช้ในอัลบั้มชุดแรกถึง 10 แทร็ค ถึงจะมีทำนองติดหูมากขึ้นแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ในแบบของ SOAD เพลงเด่น Aerials, Psycho, Chop Suey! ฯลฯ เพลงหลังนี่มาแรงมากจนต้องผ่านเซ็นเซอร์ ทั้งที่หลาย ๆ เพลงถูกแบนห้ามออกอากาศในช่วงหลังเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ถึงเนื้อหาเพลงนี้พาดพิงถึงการฆ่าตัวตายด้วยก็ตาม นอกจากนี้ SOAD ยังคงใช้ตัวย่อมาตั้งชื่อเพลงได้อย่างอื้อฉาวตามเคย เพลง ATWA ในอัลบั้ม Toxicity ย่อมาจาก Air, Trees, Water, Animals ซึ่งเป็นชื่อขององค์กรต่อต้านมลพิษของ ชาร์ลส์ แมนสัน ฆาตกรต่อเนื่อง แน่นอนว่า SOAD ไม่ได้โปรฆาตกรรมต่อเนื่อง พวกเขาเพียงต้องการให้คนอื่นได้เห็นอีกด้านของ ชาร์ลส์ แมนสัน ในฐานะคนที่ต่อสู้เพื่อขบวนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคนหนึ่ง