วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

Green Day


ก่อนที่ Green Day จะมาเป็น Green Day ได้ในทุกวันนี้ใครจะรู้ว่าพวกเขาทั้ง 3 คนได้ผ่านอะไรมามากต่อมาก ทั้งปัญหาครอบครัว คำวิจารณ์จากเหล่าพวกพ้อง แฟนเพลง เหล่านักวิจารณ์ดนตรี แต่พวกเขาก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและได้ฟันฝ่าปัญหาทั้งหลายจนมายืนหยัดในจุดนี้ได้ เรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นเมื่อ Billie Joe และ Mike Dirnt ได้ตั้งวง "Sweet Children" ขึ้นเมื่อขณะได้อายุเพียง 14 ปี พวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนกันในสมัยเด็กและเรียนโรงเรียนเดียวกันมา ทั้งสองแชร์รสนิยมดนตรีที่คล้ายกันและด้วยนิสัยที่ใกล้เคียงกันอีกจึงทำให้ Mike และ Billie เป็นเพื่อนสนิทกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว พวกเขาทั้ง 2 ในวัยเด็กไม่เหมือนใครคนอื่น เขาทั้ง 2 มีเพื่อนไม่มากนัก ด้วยนิสัยที่เงียบและเก็บตัว พวกเขาจึงใช้เวลาส่วนมากไปกับดนตรีและการแต่งเพลง ทั้ง Mike และ Billie หลงไหลในเสียงเพลง Heavy Metal และดนตรี Punk จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนของเขาคนอื่นแนะนำให้ Sweet Children รู้จักกับคลับเล็กๆให้หนึ่งชื่อว่า 924 Gilman Street Club ซึ่งเป็นคลับเล็กๆแห่งหนึ่งที่วงพังค์และเหล่าพังค์ทั้งหลายไปรวมตัว สุงสิงกัน และเล่นดนตรี แต่การเล่นดนตรีในที่นี้เป็นการเล่นเพื่ออุดมการณ์ที่แท้จริงของพังค์ ทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับการหาเงินเข้ากระเป๋าแต่อย่างใด วง Sweet Children จึงไปเล่นที่นั่นเป็นครั้งแรก และครั้งแรกที่พวกเขาปรากฎตัวมีเพียงคนดูไม่ถึง 10 คนเท่านั้น แต่วง Sweet Children ก็เล่นอย่างเต็มที่และสุดความสามารถโดยไม่สนใจว่าพวกเขาจะมีคนดูกี่คนก็ตาม หลังจากนั้นเป็นต้นมา Sweet Children ก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็เปลี่ยนชื่อวงเป็น Green Day พร้อมกับได้ออกอัลบั้มแรก 1,039 Smoothed Out Slappy Hours กับค่าย Lookout และออกอัลบั้มที่ 2 Kerplunk ในปีถัดมา ซึ่งทำลายสถิติอัลบั้มที่มียอดขายสูงที่สุดของค่าย Lookout ทำให้ Green Day มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ "Underground Punk scene" เป็นอย่างมาก ด้วยความโด่งดังของ Green Day กับค่ายเล็กๆอย่าง Lookout ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาเลื่องลือไปถึงค่ายเทปใหญ่หลายแห่งซึ่งต่างก็พยายามมาติดต่อ Green Day ให้เซ็นสัญญาด้วย โดยหวังว่าจะได้วงนี้ไปเป็น "The next big thing" ของวงการเพลง แต่ Green Day ไม่เคยสนใจในชื่อเสียงเงินทองและความร่ำรวยจึงปฎิเสธสัญญาจากค่ายเพลงดังๆทั้งหลายครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาทั้งสามคนคงความเป็นวงพังค์และยึดถือสโลแกน DIY : Doing It Yourself เรื่อยมา พวกเขาขายเทปแต่ละม้วนได้ด้วยลำแข้งของพวกเขาเอง และอาศัยคำพูดแนะนำจากแฟนเพลงปากต่อปากเท่านั้น พวกเขาเดินสายทัวร์ไปทั่วประเทศ ซึ่งก็ได้ช่วยเพิ่มยอดขายอัลบั้ม Kerplunk เป็นอีกหลายเท่าตัว จนกระทั่งวันหนึ่ง Rob แห่งค่าย Reprise Record ยักษ์ใหญ่แห่ง Warner ได้ทำการติดต่อ Green Day ไปโดยหวังว่าจะได้พวกเขามาร่วมงานด้วย Rob ไม่เหมือนใครคนอื่นที่เคยติดต่อพวกเขา Rob สนใจในดนตรีอย่างจริงจังและหลงใหลในดนตรีแนวพังค์ตลอดจนแชร์รสนิยมทางดนตรีที่เหมือนกับพวกเขา ทำให้ Green Day ถึงกับใจอ่อนและยอมเซ็นสัญญาด้วยประกอบกับค่ายเล็กๆอย่าง Lookout ไม่สามารถตอบสนองกระแสความดังของ Green Day ได้อีกต่อไป การตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ในครั้งนี้ได้สร้างปัญหามานับไม่ถ้วนให้แก่พวกเขา และถูกตราหน้าเป็นครั้งแรกว่า "ผู้ทรยศ" และ "Sellouts" การเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ถือเป็นข้อต้องห้ามอย่างหนึ่งของวงพังค์ เพราะพวกพังค์ไม่ต้องการให้เพลงของพวกเขานั้นถูกนำไปเปิดตาม MTV และสื่อต่างๆ พวกเขาต่อต้านสื่อ mainstream ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นการตัดสินใจของ Green Day ในครั้งนี้ถึงกับทำให้แฟนๆบางกลุ่มในยุคแรกๆถึงกับหัวใจสลายและโกรธแค้น Green Day เป็นอย่างมาก แต่ Green Day ก็ไม่สนใจคำวิจารณ์ว่ากล่าวต่างนานา พวกเขาได้ทำการตัดสินใจไปแล้วและชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เขาชื่อว่าชีวิตคือของพวกเขาและพวกเขามีสิทธิเต็มที่ในการทำอะไรทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ พวกเขาทั้งสามคนต้องการให้เพลงของพวกเขาเป็นที่ได้ยินในคนหมู่มากและนั่นก็คือจุดประสงค์หลักที่ว่าทำไมพวกเขาถึงทำการเซ็นสัญญากับ Reprise หลังจากคำวิจารณ์ต่างๆนานาจากแฟนกลุ่มเก่าๆ Green Day ก็ได้เข้าสตูดิโอเพื่ออัดเสียงอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของพวกเขา "Dookie" ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้นในการอัดเสียงทั้งหมด Single แรกกับ Reprise ของพวกเขาเลยคือ Longview หลังจากวิดีโอเพลงนี้ได้ถูกนำออก MTV เป็นครั้งแรกก็ถึงกับเขย่าวงการเพลงเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพราะข้อความและเนื้อหาในเพลงหรือสไตล์การเล่นเพลงแบบใหม่กับอิทธิพลแนวพังค์ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจจากสื่อเป็นจำนวนมาก ความแรงของพวกเขาถึงกับฉุดไม่อยู่เลยทีเดียวเมื่อซิงเกิ้ล Basket Case และ When I Come Around ถูกปล่อยในเวลาต่อมา ประกอบกับคอนเสิร์ต Woodstock ปี 1994 ที่พวกเขามีโอกาสได้ปรากฎตัวต่อหน้าขาร็อกเป็นจำนวนมาก สร้างปรากฏการณ์เขย่าวงการเพลงในปี 1994 ผู้คนที่ไปดูคอนเสิร์ตในครั้งนี้ถึงกับกล่าวว่ากรีนเดย์เป็นวงดนตรีที่เล่นได้ดีที่สุดหรือดึงดูดความสนใจได้มากที่สุดในวันนั้นทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพราะ energy บนเวทีหรือ mud fight กับคนดูก็ตามที ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ยอดขายอัลบั้ม Dookie ก็พุ่งทะลุถึงหลัก 10 ล้านตลับ และขายได้เรื่อยมาจนถึง 16 ล้านตลับทั่วโลกในทุกวันนี้ นับเป็นยอดขายที่ไม่น่าเชื่อสำหรับวงป็อปพังค์วงเดียว อย่างไรก็ตามถึงแม้ความสำเร็จและเงินทองจะโถมเข้ามาหาแก่พวกเขาอย่างไม่หยุดยั้งในปี 1994 ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาได้รับการวิจารณ์อย่างหนักจากเหล่าแฟนเพลงยุคแรกๆ สมัย 1039 Smooth Out Slaapy Hours และ Kerplunk ตลอดจนเหล่านักวิจารณ์เพลงทั้งหลายแหล่ว่ากรีนเดย์ได้กลายเป็นวง "Sellouts" ในที่สุด กรีนเดย์สูญเสียแฟนเพลงจำนวนมากโดยเฉพาะเหล่าพวกพังค์ที่เคยสนับสนุนเขามาก่อน ด้วยเหตุผลนี้พวกเขาจึงออกอัลบั้ม Insomniac ในปีถัดมา 1995 อย่างรวดเร็วเพื่อพิสูจน์ให้แฟนเพลงกลุ่มเดิมๆเชื่อว่าพวกเขายังคงเป็นวงพังค์เหมือนเดิม เพลงในอัลบั้มนี้มีเนื้อหาที่รุนแรง เกรี้ยวกราดและหดหู่มากที่สุดในบรรดาทุกอัลบั้มที่กรีนเดย์เคยทำ และซาวน์ดนตรีก็หนักแน่นและรวดเร็วเก่าอัลบั้มอื่นๆ ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้อัลบั้ม Insomniac มียอดขายที่น้อยกว่าอัลบั้มอื่นๆ และได้รับการโปรโมตจากสื่อน้อยมาก อัลบั้ม Insomniac ไม่สามารถเข้าถึงแฟนเพลงกลุ่มใหม่ได้เท่าที่ควรแต่ในทางกลับกัน กรีนเดย์สามารถดึงศรัทธาจากแฟนเพลงยุคแรกๆมาได้มากพอสมควรเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม พวกเขาไม่เคยภูมิใจกับผลงานในอัลบั้ม Insomniac เลย เพราะสิ่งที่พวกเขาทำงานคือการ "พิสูจน์" ตัวเองเพื่อให้คนอื่นยอมรับพวกเขาว่ายังคงเป็นวงพังค์เหมือนที่พวกเขาเคยเป็นมาก่อน การทำเช่นนี้ทำให้กรีนเดย์ตกอยู่ในภาวะแห่งความสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง พวกเขายกเลิกเดินสายทัวร์เกือบทั้งหมด เพราะพวกเขาไม่ต้องการ "เสแสร้ง" ทำในสิ่งที่เขาไม่ใช่และพวกเขาก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องพิสูจน์ตัวตนของพวกเขาให้กับคนอื่น หลังจากนั้นเป็นต้นมา กรีนเดย์ก็ไม่เคยสนใจคำวิจารณ์จากเหล่าแฟนเพลงหรือนักวิจารณ์ใดๆก็ตาม พวกเขาสร้างดนตรีเพื่อพวกเขาเองเท่านั้น เขาทำในสิ่งที่เขาอยากทำและยึดมั่นในหลักการของตนเองโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆทั้งสิ้น ด้วยความเชื่อนี้ กรีนเดย์จึงออกอัลบั้มถัดมาชื่อว่า Nimrod ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่พวกเขาเริ่มทดลองซาวน์ใหม่ๆโดยไม่สนใจว่าทำแบบนี้จะ "พังค์" หรือ "ไม่พังค์" และพวกเขายังปล่อยซิงเกิ้ลขายดีตลอดกาลของพวกเขา "Good Riddance" ที่ช็อกวงการพังค์ร็อคเลยทีเดียว เพลงนี้เป็นบัลลาดเศร้าจับใจ เนื้อหาเพลงพูดถึงการตัดสินใจในชีวิตเมื่อมาถึงทางแยกของชีวิต แล้วเมื่อการตัดสินใจครั้งนั้นผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผลของการตัดสินใจนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องเสมอ บางครั้งคนเราไม่สามารถทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์คือสิ่งที่คนๆนั้นต้องอยู่กับมัน ส่วนเรื่องในอดีตนั่นก็จะกลายเป็นแค่ช่วงเวลาเก่าๆที่ฝังลึกไว้เพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น




กรีนเดย์ปล่อยซิงเกิ้ล Good Riddance เพื่อกล่าวอำลาแฟนเพลงพังค์ในยุดแรกๆของพวกเขา ว่าเขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าแฟนๆเหล่านั้นจะหันหลังให้กลับกรีนเดย์หลังจากที่กรีนเดย์เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ เขาเขียนเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อบอกลาแฟนๆในยุคนั้นเป็นนัยๆว่าเขาจะลืมอดีตทิ้งให้หมดและมันจะเป็นเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น ต่อไปนี้พวกเขาจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าและไม่สนใจและยึดติดกับคำว่า "พังค์" อีกต่อไป ...



ในปี 2000 กรีนเดย์ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับอัลบั้มใหม่ Warning คราวนี้พวกเขาอยู่ในวัยเกือบ 30 และไม่ใช่เด็กๆที่ร้องเพลงเกี่ยวกับ Longview หรือ Basket Case อีกต่อไป ในอัลบั้มนี้พวกเขาทั้ง 3 โปรดิวซ์อัลบั้มด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากงจากอัลบั้ม 1039/ Smoothed Out Slappy Hours โดยปราศจาก Rob คู่ซี้ และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่กรีนเดย์ทดลองซาวน์ใหม่โดยไม่คำนึงถึงอดีตและกฎเกณฑ์ของ "พังค์" พวกเขานำกีตาร์แบบอคูสติกมาใช้เป็นหลัก มีการใช้เครื่องดนตรีหลากหลายมากขึ้น จึงทำให้ซาวน์โดยรวมอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนมาก อีกทั้งความหมายโดยรวมของอัลบั้มยังให้แง่คิดดีๆในแง่บวก ต่างจากอัลบั้มเก่าๆ มากทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตามกรีนเดย์ยังคงความเป็นกรีนเดย์ไว้ด้วยความหมายแบบประชดประชันเสียดสีสังคมอย่างเช่นในเพลง Warning, Minority หรือ Fashion Victim และเพลงทุกเพลงก็ยังคงติดหูผู้ฟังซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรีนเดย์เลยทีเดียว อัลบั้ม Warning ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนกลุ่มใหม่และเหล่านักวิจารณ์เพลง เพราะอัลบั้มนี้ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาทั้ง 3 คนได้โตขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว และมีศักยภาพมากกว่าการทำเพลงพังค์ 3 นาทีซ้ำไปซ้ำมา อัลบั้มนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีในแง่ของความคิดสร้างสรรค์และความพยายามของวง แต่ถึงอย่างนั้นอุปสรรคก็ยังถามหาพวกเขาไม่เลิกรา แฟนๆยุคเก่าถึงกับส่ายหน้าหนีกับอัลบั้มนี้ทันที พร้อมกับบอกว่าอัลบั้มนี้คืออัลบั้มที่แย่ที่สุดที่พวกเขาเคยสร้าง และอัลบั้มนี้เองที่น่าจะเป็นจุดจบของวงกรีนเดย์เลยทีเดียว



แต่นั่นไม่ใช่จุดจบของกรีนเดย์อย่างแน่นอน พวกเขาไม่เคยสนใจว่าใครจะคิดยังไงเกี่ยวกับผลงานของพวกเขา เขาสร้างเพลงเพื่อความพึงพอใจของตนเอง ไม่ใช่เพื่อแฟนเพลง นักวิจารณ์ หรือคนอื่นใด พวกเขากลับมาอีกครั้งในปี 2004 หลังจากออกอัลบั้มรวมฮิตและ B-sides ภายใต้ชื่ออัลบั้มใหม่เอี่ยมว่า American Idiot ซึ่งทำยอดขายได้เกินกว่า 5 ล้านตลับในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น นับเป็นสถิติที่เหลือเชื่อเลยทีเดียว อัลบั้มนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากแฟนกลุ่มเก่าๆและนักวิจารณ์ อีกทั้งยังสามารถเจาะตลาดกลุ่ม Pop Culture ได้อย่างเดินความคาดหมาย และยังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขาอัลบั้มร็อคยอดเยี่ยมแห่งปีอีกด้วย พวกเขาเดินสายทัวร์โปรโมตอัลบั้มนี้ไปทั่วโลกและได้รับการตอบรับอย่างไม่น่าเชื่อ บัตรคอนเสิร์ตกว่า 75,000 ใบขายหมดในพริบตา ทัวร์แล้วทัวร์เล่าและพวกเขายังเป็นที่ต้องการในหลายๆประเทศอย่างต่อเนื่อง กระแสความดังของอัลบั้ม American Idiot ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ง่ายๆ จนหลายคนกล่าวว่า ถ้าอัลบั้ม Nevermind ของ Nirvana คืออัลบั้มที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลงในช่วง 90 มันก็เป็นไปได้ว่า American Idiot ของ Green Day จะพลิกโฉมหน้าวงการเพลงร็อคในสหัสวรรษที่ 2000 เลยทีเดียว กระแสความแรงของ American Idiot กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะแซงหน้าอดีตความดังของอัลบั้ม Dookie เมื่อ 11 ปีที่แล้วอย่างช้าๆ ทุกอย่างสำหรับกรีนเดย์ในยุคนี้ดูจะท่าไปได้สวยสำหรับพวกเขา แต่ปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งที่แฟนๆกรีนเดย์ทุกคนเฝ้าถามตัวเองก็คือ แล้วหลังจากวันนี้ พวกเขาทั้ง 3 คนจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต หรือพวกเขาควรจะจบอาชีพของตัวเอง ณ ที่จุดสูงสุดตรงนี้?



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น